Maserati เปิดตัว GranTurismo โฉมใหม่อย่างเป็นทางการ
พร้อมรุ่นย่อยขุมกำลังไฟฟ้า Folgore เริ่มต้น 12.9 ล้านบาท
มาเซราติ ประเทศไทย เปิดตัว Maserati GranTurismo โฉมใหม่ อย่างเป็นทางการ พร้อมนำเสนอรุ่นย่อยใหม่ Folgore ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% โดยมีกำหนดเผยโฉมต่อสาธารณชนในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม-7 เมษายนนี้ ที่ชาแลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
มาเซราติ ประเทศไทย เปิดตัว GranTurismo โฉมใหม่ อย่างเป็นทางการ นับเป็นการเปิดตำนานบทใหม่ ที่เริ่มขึ้นจาก Maserati A6 1500 เมื่อ 77 ปีที่ผ่านมา โดยเป็นยนตรกรรมสไตล์ GT ที่เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของสมรรถนะแบบรถสปอร์ตเข้ากับความสะดวกสบายเพื่อรองรับการขับทางไกล พร้อมเปิดรับจองทั้ง 3 รุ่นย่อย คือ โมเดนา (Modena), โทรเฟโอ (Trofeo) และสุดยอดนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า 100% โฟลกอเร (Folgore) ที่แปลว่าสายฟ้าในภาษาอิตาเลียน ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Others Just Travel’ ที่มอบประสบการณ์พิเศษ มากกว่าคำว่าการเดินทาง
ปิยะเทพ ศิวากาศ ผู้จัดการทั่วไป มาเซราติ ประเทศไทย กล่าวว่า “มาเซราติ ประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเรา ผ่านยนตรกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานความตั้งใจในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า โดยใช้ประสบการณ์จากสนามแข่ง ฟอร์มูล่า อี”
“และวันนี้นับเป็นโอกาสดี ที่ลูกค้าในไทยจะได้สัมผัสกับ มาเซราติ กรันทูริสโม โฉมใหม่ ที่มีให้เลือกทั้งแบบเครื่องยนต์ และขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน กับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 77 ปี พร้อมเชื่อมั่นว่ายนตรกรรมรุ่นนี้ จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า มาเซราติ ได้อย่างแน่นอนครับ”
ราคาจำหน่าย Maserati GranTurismo 2024
• GranTurismo Modena ราคาเริ่มต้น 14.5 ล้านบาท*
• GranTurismo Trofeo ราคาเริ่มต้น 16.9 ล้านบาท*
• GranTurismo Folgore** ราคาเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท*
*ราคารวม warranty 3 ปี ไม่จากัดระยะทาง, ** Battery warranty นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร
งานดีไซน์ของกรันทูริสโม นำเสนอความสง่างามและสมรรถนะเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร และสามารถจดจำได้ในทันที เส้นสายดูเรียบง่ายแต่ชัดเจน ผสานประสิทธิภาพ
การขับเคลื่อนที่ดีสุดในเซกเมนต์ สะท้อนตัวตนและความพิถีพิถันในการออกแบบ ขณะเดียวกันก็สามารถรักษาสัดส่วนอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างครบถ้วน ด้วยฝากระโปรงหน้าทรงยาว และตำแหน่งผู้ขับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างล้อทั้ง 4 พร้อมหลังคาลาดต่ำสู่ด้านหลัง เน้นให้เห็นความโค้งมนของเสาซี ที่มีโลโก้ตรีศูลติดตั้งอยู่
ห้องโดยสารติดตั้งนวัตกรรมล้ำสมัย ด้วยระบบมัลติมีเดีย Maserati Intelligent Assistant (MIA), อินโฟเทนเมนท์ใหม่ล่าสุด, หน้าจอ Comfort Display ที่รวมฟังก์ชั่นหลักของทัชสกรีนอเนกประสงค์, นาฬิกาดิจิทัลอัจฉริยะ (Digital Smart Clock) และเฮด-อัพ ดิสเพลย์ (เป็นออปชั่น)
นอกจากนี้ยังมอบประสบการณ์พิเศษแบบ ‘All-round Sound Experience’ การันตีด้วยสุ้มเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ Maserati รวมทั้งเวอร์ชั่นรถไฟฟ้า อันเกิดจากฝีมือการพัฒนาของวิศวกรจาก Maserati Innovation Lab
มอบประสบการณ์สมบูรณ์แบบผ่านระบบเครื่องเสียง Maserati Sound Audio System และมีออปชั่นพิเศษกับสุดยอดเครื่องเสียงสัญชาติอิตาลี ‘Sonus Faber’ ลำโพง 12 ตำแหน่ง และ 19 ตำแหน่งให้เลือก
ขุมพลังเบนซิน วี6 สูบ 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ เน็ททูโน (V6 Nettuno) บล็อกเดียวกับที่ใช้ในซูเปอร์คาร์ MC20 ติดตั้งในสองรุ่นย่อยคือ Modena ทำได้ 490 แรงม้า แรงบิด 600 นิวตันเมตร และ Trofeo ที่ผ่านการอัพเกรดเพิ่มกำลังเป็น 550 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร
ขณะที่ GranTurismo Folgore ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ส่งกำลังผ่านมอเตอร์ 402 แรงม้า จำนวน 3 ตัว (หน้า 1 หลัง 2) ผสานเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ ความจุ 92.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง เทคโนโลยีของรถแข่งฟอร์มูลา อี (Formula E) ติดตั้งแบตเตอรี่ไว้บริเวณโครงสร้างกลางรถ (T-Bone) แทนที่การติดตั้งไว้ใต้เบาะผู้ขับ ส่งผลดีต่อสมดุลและจุดศูนย์ถ่วงของรถ ทำได้ 761 แรงม้า แรงบิด 1,350 นิวตันเมตร
อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และความเร็วสูงสุดตามลำดับ โมเดนา 3.9 วินาที 302 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, โทรเฟโอ 3.5 วินาที 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และโฟลกอเร 2.7 วินาที 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
Maserati GranTurismo ในรุ่นโมเดนา มาพร้อม 3 โหมดการขับคือ GT, Comfort และ Sport ขณะที่รุ่นโทรเฟโอ เพิ่มโหมด Corsa และโฟลกอเร มี 4 โหมด คือ GT, Max Range, Sport และ Corsa
สถาปัตยกรรมเชิงเทคนิคของรถรุ่นใหม่นี้ คือ ผลลัพธ์ของนวัตกรรมในการนำวัสดุที่เบาที่สุดมาใช้ เช่น การใช้อะลูมิเนียมหรือแมกนีเซียม ร่วมกับโลหะเกรดสูง เพื่อให้ได้มาซึ่งวัสดุที่เบา และมีประสิทธิภาพชั้นเลิศ
นอกจากนี้ยังมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ Atlantis High อันล้ำสมัย ภายใต้มาตรฐาน canFD ที่มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลได้เร็วสุดถึง 0.002 วินาที มาพร้อมระบบ Cyber-security ระดับ 5 และฟีเจอร์ Flash-over-the-air
ศูนย์กลางในการควบคุมระบบ Vehicle Domain Control Module (VDCM) ประกอบด้วยซอฟต์แวร์ที่พร้อมมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ขับ ในการควบคุมระบบที่สำคัญทั้งหมดของรถยนต์แบบ 360 องศา เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีทีสุดในทุกสถานการณ์
ความฉับไวแบบรถสปอร์ต ความหรูหรา และความสะดวกสบาย เกิดจากความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า จากจุดเริ่มต้นของการพัฒนา มาเซราติ กรันทูริสโม โฉมใหม่ ที่ผ่านการพัฒนาจาก Maserati Innovation Lab และผลิตที่โรงงาน มิราฟิออรี เมืองตูริน ประเทศอิตาลี สะท้อน ‘ความหรูหราและสมรรถนะแบบอิตาเลียน’ เป็นแนวคิดที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ มาเซราติ ทุกรุ่น
พร้อมแสดงให้เห็นว่า มาเซราติ สามารถลบล้างสมการที่ดูเหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยผสมผสานสมรรถนะแบบรถสปอร์ต กับความสะดวกสบายที่เหมาะสำหรับการขับทางไกล รวมถึงเครื่องยนต์สันดาปภายในอันทรงพลังกับสุดยอดนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100% เปรียบเสมือนมาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์ในเซกเมนต์
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: มาเซราติ ประเทศไทย
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.