Spectre รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจาก Rolls-Royce พร้อมส่งมอบปลายปี 2023
Rolls-Royce ผู้ผลิตรถหรูเก่าแก่แห่งเกาะอังกฤษ เข้าสู่ยุคยานยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ ด้วยการเปิดตัว Spectre สปอร์ตคูเป้ไฟฟ้า ที่มีระยะการขับไกลถึง 520 กม./ชาร์จ (ตามมาตรฐาน WLTP) โดยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 4.5 วินาที
ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการของ Rolls-Royce ระบุว่าพร้อมรับคำสั่งจอง Spectre ทันที โดยมีกำหนดส่งมอบให้ลูกค้ารายแรกในไตรมาสที่ 4 ของปี 2023 โดยราคาพวกเขาระบุเพียงว่าจะอยู่ระหว่าง Cullinan โมเดลเอสยูวีที่มีราคาเริ่มต้นในประเทศไทย 32,900,000 บาท กับ Phantom ฟูลไซส์ลักชัวรี่ ที่มีราคาเริ่มต้น 53,500,000 บาท (Phantom Extended Wheelbase 59,500,000 บาท) ทำให้เชื่อว่ารถไฟฟ้า Ultra-Luxury Electric Super Coupé คันแรกของโลก จะมีราคาเริ่มต้นในประเทศไทย ไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท
คำพยากรณ์ที่เป็นจริง การยึดมั่นในคำสัญญา ภารกิจอันน่าทึ่งกำลังจะเกิดขึ้น
ในปี 1900 Charles Rolls ผู้ร่วมก่อตั้ง Rolls-Royce ได้ทำนายอนาคตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หลังจากได้ครอบครองรถยนต์ไฟฟ้าที่ชื่อ The Columbia Electric Carriage เขาเล็งเห็นถึงความเหมาะสมของรถยนต์ดังกล่าวว่าเป็นทางเลือกที่สะอาดและปราศจากเสียงรบกวนเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์สันดาปภายในหากมีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอเพื่อรองรับ วันนี้กว่า 120 ปีต่อมา ถึงเวลาแล้วที่ Rolls-Royce Motor Cars จะต้องทำให้การคาดการณ์ของผู้ก่อตั้งเป็นจริง
การคาดการณ์นี้ไม่สามารถเป็นจริงได้หากไม่มีคำสัญญาเมื่อไม่นานนี้ เมื่อ Torsten Müller-Ötvös ประธานบริหาร Rolls-Royce ให้คำมั่นต่อสาธารณชนเกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้าโดยประกาศว่าเขาจะนำ Rolls-Royce พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบออกสู่ตลาดภายในทศวรรษนี้ การคาดการณ์ของ Charles Rolls และคำสัญญาของ Torsten Müller-Ötvös นำไปสู่ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ ในเดือนกันยายน 2021 แบรนด์ยืนยันว่าได้เริ่มทดสอบ Spectre ซึ่งเป็นโรลส์-รอยซ์รุ่นแรกที่คิดค้นและออกแบบตั้งแต่เริ่มแรกให้เป็นรถยนต์ไฟฟ้า
เพื่อให้แน่ใจว่ายานยนต์แห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอสำหรับผู้บริโภคที่มีความต้องการมากที่สุดในโลก นั่นคือ ลูกค้าของ Rolls-Royce แบรนด์ได้คิดค้นโปรแกรมการทดสอบที่มีความท้าทายที่สุดเท่าที่เคยมีมา Spectre ต้องถูกทดสอบในระยะทางกว่า 2.5 ล้านกิโลเมตร ซึ่งเป็นการจำลองการใช้งานยนตรกรรมโรลส์-รอยซ์ นานกว่า 400 ปี เมื่อ Spectre เสร็จสมบูรณ์ในปี 2023 จะเป็นตัวแทนของคำพยากรณ์ที่เป็นจริง การยึดมั่นในคำสัญญา และภารกิจอันน่าทึ่งที่สำเร็จ
Spectre ไม่ได้เป็นเพียงช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของ Rolls-Royce แต่ยังเป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของการใช้พลังงานไฟฟ้า ด้วย Spectre แบรนด์ยืนยันว่าเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานทำให้สามารถสัมผัสประสบการณ์ในแบบฉบับของโรลส์-รอยซ์ได้ ด้วยเหตุนี้ Rolls-Royce จึงยืนยันว่าภายในปีค.ศ. 2030 กลุ่มยนตรกรรมทั้งหมดจะเป็นระบบพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
การเริ่มต้นแห่งอนาคต
Spectre เป็นมากกว่ารถยนต์ เป็นการแสดงเจตจำนงและเป็นสัญลักษณ์ของอนาคตที่สดใสและกล้าหาญเมื่อ Rolls-Royce ก้าวไปสู่ยุคแห่งการใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบส่งกำลังไฟฟ้าเต็มรูปแบบจะช่วยยกระดับประสบการณ์การขับขี่ในแบบฉบับของ Rolls-Royce ไม่ว่าจะเป็นการส่งมอบแรงบิดในทันที การวิ่งที่เงียบ และความรู้สึกประหนึ่งไม่ได้มีการเปลี่ยนเกียร์ที่กำหนดคุณลักษณะของยนตรกรรมที่มีความพิเศษเฉพาะตัวตั้งแต่ Rolls-Royce รุ่นแรก คือ 10 แรงม้าปี 1904
Rolls-Royce ได้ใช้ระบบสมองกลอัจฉริยะ ‘Decentralised Intelligence’ ที่ปฏิวัติวงการ ซึ่งช่วยให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรงระหว่างฟังก์ชันต่าง ๆ ของรถมากกว่า 1,000 ฟังก์ชั่นได้อย่างอิสระ และช่วยยกระดับสมรรถนะการขับขี่ของแบรนด์ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทีมนักออกแบบได้จับภาพความงามแบบร่วมสมัยแต่เหนือกาลเวลาที่พัฒนาภาพลักษณ์ของแบรนด์อย่างมีนัยสำคัญในขณะที่เริ่มเข้าสู่ยุคการใช้พลังงานไฟฟ้า
ทีมช่างหัตถศิลป์ของทางบริษัทได้สร้างสรรค์ชุดของความเป็นไปได้ในการปรับแต่งแบบ prêt-à-porter (สำเร็จรูป) ร่วมสมัย ซึ่งรวมถึงประตู Starlight Doors และแผงหน้าปัดเรืองแสง ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกค้าตระหนักถึงวิสัยทัศน์ในการสั่งทำพิเศษของตนเอง
การออกแบบ
ในการเผยโฉม Spectre ทีมงาน Rolls-Royce ได้สร้างรูปแบบใหม่ในการสร้างสรรค์ประเภทยานยนต์ที่เป็นออริจินัลอย่างแท้จริง นั่นคือ Ultra-Luxury Electric Super Coupé การกำหนดประเภทนี้หมายถึงความสัมพันธ์ที่น่าพึงพอใจของ Spectre เพื่อตอบสนองต่อคำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีความหรูหราใดยิ่งใหญ่ไปกว่ายนตรกรรมนี้
ทีมนักออกแบบของแบรนด์หยั่งรากอย่างลึกซึ้งในบริบทที่ยานยนต์ของตนครอบครอง ดังนั้น แรงบันดาลใจของพวกเขาจึงมาจากโลกที่ห่างไกลจากอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงแฟชั่นชั้นสูง ประติมากรรมสมัยใหม่ การออกแบบทางทะเล การตัดเย็บเสื้อผ้า และศิลปะร่วมสมัย ในการร่างภาพสเก็ตช์หลักของ Spectre ความคิดสร้างสรรค์ของแบรนด์ถูกดึงดูดไปยังแนวคิดการออกแบบเรือยอร์ชที่ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความชัดเจนและความแม่นยำของลายเส้น การใช้แสงสะท้อนและเส้นสายที่เรียวลงอย่างชาญฉลาดเพื่อให้เกิดโครงร่างที่สะดุดตา
จากด้านหน้า จะพบกับไฟหน้าแบบแยกชิ้นของ Spectre นั้นอยู่ระหว่างกระจังหน้าที่มีขนาดกว้างที่สุดที่เคยมีมาในโรลส์-รอยซ์ ซี่ของกระจังหน้า Pantheon ในส่วนนี้มีความนุ่มนวลขึ้นและมีความพอดีรับกับชุดไฟหน้า ซึ่งออกแบบมาเพื่อช่วยกระจายอากาศไปรอบ ๆ ด้านหน้าของรถยนต์
มุมที่โค้งและผิวสแตนเลสขัดมันของกระจังหน้าช่วยเสริมการปรากฏตัวของ Spectre ได้มาก โดยจากการใช้การสะท้อนของสภาพแวดล้อม พร้อมด้วยสัญลักษณ์ Spirit of Ecstasy ที่ปรับแต่งตามหลักอากาศพลศาสตร์ ซึ่งเป็นผลงานจากการสร้างแบบจำลองและการทดสอบอุโมงค์ลมรวมกัน 830 ชั่วโมง กระจังหน้ายังช่วยให้มีค่าแรงเสียดทานอากาศ (Cd) เพียง 0.25 ทำให้ Spectre Rolls-Royce เป็นยานยนต์ที่มีแอโรไดนามิกที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา
การตกแต่งที่ชาญฉลาดนี้ ผนวกเข้ากับ Phantom Coupé ผู้ถ่ายทอดทางจิตวิญญาณให้แก่ Spectre
Spectre น้อมรับอย่างชัดเจนถึงลักษณะอันโดดเด่นของรถรุ่นก่อนด้วยสัดส่วนที่โอ่อ่าและไฟหน้าแบบแยกส่วน ซึ่งเป็นหลักการออกแบบของโรลส์-รอยซ์ร่วมสมัย ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daylight Running Lights) ที่คมชัดของ Spectre ขับเน้นความกว้างด้านหน้าขนาดสองเมตรของยานยนต์และถูกทำให้สมดุลด้วยกลุ่มหลอดไฟด้านล่างที่ดูมืดในแวบแรก แต่กลับซ่อนตัวเรือนโครเมียมสีเข้มดุจกล่องอัญมณีสำหรับไฟหน้า เพื่อยืนยันตัวตนของ Spectre ในยามค่ำคืน
กระจังหน้าจะเรืองแสงอย่างนุ่มนวล โดยหลอดไฟ LED 22 ดวงจะส่องสว่างที่ด้านหลังของซี่กระจังหน้าที่พ่นทรายแต่ละอัน การเรืองแสงที่นุ่มนวลจะสะท้อนบนพื้นผิวด้านหน้าที่ขัดเงาที่ส่งมอบความละเอียดอ่อนและมีความเป็นสามมิติที่เป็นเอกลักษณ์ในยามค่ำคืน
ในส่วนโครงร่าง เส้นโค้งแนวตั้งที่แหลมคมที่ด้านหน้าของ Spectre ดึงดูดสายตาไปทางด้านหลังไปยังตัวถังด้านข้างที่มีขนาดใหญ่ เส้นด้านล่างหรือที่เรียกว่า ‘waft line’ ที่ยืมโดยตรงจากการออกแบบเรือยอร์ช แทนที่จะโอ้อวดการขับเคลื่อนด้วยรายละเอียดที่ยุ่งเหยิงหรือลวดลายตกแต่ง
งานตัวถังของ Spectre จะค่อย ๆ ซ่อนเข้าไปในชายบันไดข้าง ทำให้พื้นผิวสว่างขึ้น และสร้างความรู้สึกเคลื่อนไหวที่ไม่ซับซ้อนโดยสะท้อนให้เห็นพื้นถนนที่วิ่งผ่านด้านล่างเหมือนกับเวลาที่เรือยอร์ชแข่งล่องผ่านกระแสน้ำสะท้อนให้เห็นพื้นผิวมหาสมุทร ‘waft line’ นี้เป็นภาพที่บ่งบอกถึงประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวลดุจ ‘พรมวิเศษ’ และด้านหน้าที่เชิดขึ้นได้รับแรงบันดาลใจจากหัวเรือที่ยกขึ้นไม่สูงนักของเรือยนต์ขณะกำลังเร่งความเร็ว
เส้นโครงร่างที่น่าทึ่งที่สุดคือ เส้นหลังคาลาดลงด้านท้ายของ Spectre ซึ่งชวนให้รำลึกถึงยานยนต์และเรือในอดีต พื้นผิวกระจกที่ปราศจากรอยต่อมีส่วนอย่างมากในการส่งมอบค่าแรงเสียดทานอากาศต่ำที่สุดเท่าที่ Rolls-Royce เคยมีมา
ด้านหลังแนวหลังคา ไฟท้ายถูกติดตั้งไว้ที่แผงตัวถังเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยผลิตมาสำหรับโรลส์-รอยซ์ ซึ่งขยายจากเสา A-pillar ไปยังห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ ไฟท้ายแนวตั้งดุจอัญมณีนั้นไม่มีสีเพื่อความเป็นกลาง โดยคาดว่าจะมีตัวเลือกสีมากมายที่ลูกค้าสามารถเลือกระหว่างกระบวนการสั่งผลิตพิเศษ ความแม่นยำและมิติที่ลดลงช่วยเสริมการลื่นไหลของเส้นตัวถังรถจากด้านข้างที่ดูบึกบึนไปจนถึงฐานส่วนท้ายที่เรียวลงเป็นลักษณะเฉพาะ
ความต้องการตามสัดส่วนของขนาดของ Spectre ทำให้โรลส์-รอยซ์ต้องใช้ล้อเป็นตัวเสริม Spectre เป็นยนตรกรรมคูเป้สองประตูรุ่นแรกที่มาพร้อมกับล้อขนาด 23 นิ้วในรอบเกือบร้อยปี
ภายใน Spectre ได้รับการติดตั้งด้วยระบบเทคโนโลยีบีสโป๊กที่ล้ำสมัยที่สุดในปัจจุบันซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากความลึกลับเหนือกาลเวลาของท้องฟ้ายามค่ำคืน เป็นครั้งแรกในสายการผลิตแบบรุ่นของโรลส์-รอยซ์ ที่ Spectre มาพร้อมกับประตู Starlight Doors ซึ่งรวม ‘ดวงดาว’ ที่ส่องประกายเรืองแสงระยิบระยับจำนวน 4,796 ดวง ประตูแบบรถโค้ชสามารถสั่งผลิตให้บุด้วยไม้ Canadel Panelling ซึ่งเป็นชื่อที่เรียกตามแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่ซึ่ง Sir Henry Royce และทีมนักออกแบบของเขาใช้เวลาร่วมกันในช่วงฤดูหนาว
ธีมยามค่ำคืนที่ดูลึกลับยังคงต่อเนื่องด้วยแผงหน้าปัดเรืองแสงของ Spectre พัฒนาขึ้นในช่วงสองปีและใช้เวลารวมกันมากกว่า 10,000 ชั่วโมง เสริมความโดดเด่นด้วยป้ายชื่อ Spectre ที่รายล้อมด้วยหมู่ดาวมากกว่า 5,500 ดวง ไฟเรืองแสงที่แผงหน้าปัดด้านผู้โดยสารจะดับสนิทในขณะที่รถยนต์หยุดนิ่ง
นอกจากพื้นผิวเรืองแสงอันน่าทึ่งแล้ว Spectre ยังมาพร้อมกับสถาปัตยกรรมดิจิทัลที่ออกแบบใหม่อย่างหรูหราที่มีชื่อว่า SPIRIT ซึ่งนำเสนอในแบบฉบับของโรลส์-รอยซ์อย่างแท้จริง SPIRIT ไม่เพียงแต่จะจัดการฟังก์ชั่นของยานยนต์เท่านั้น แต่ยังทำงานผสานรวมเข้ากับแอปพลิเคชัน Whispers ของแบรนด์ได้แบบไร้รอยต่อ ช่วยให้ลูกค้าสามารถโต้ตอบกับรถของตนจากระยะไกล และรับข้อมูลสดที่รวบรวมโดยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวกรองด้านความหรูหราของแบรนด์
นับเป็นครั้งแรกที่ลูกค้าสามารถขยายคำสั่งผลิตพิเศษบีสโป๊กของพวกเขาออกไปจากโลกทางกายภาพและเข้าสู่สถาปัตยกรรมดิจิทัลที่สนับสนุน SPIRIT โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความรักของลูกค้าที่มีต่อนาฬิกาสั่งทำพิเศษทำให้ตอนนี้สามารถเลือกสีของหน้าปัดให้เข้ากับโทนสีภายในของรถยนต์
เช่นเดียวกับรถยนต์โรลส์-รอยซ์ทุกคัน ชุดตกแต่งภายในของ Spectre มอบตัวเลือกสั่งผลิตพิเศษที่แทบไม่มีข้อจำกัดให้กับลูกค้า การออกแบบเบาะนั่งด้านหน้าแบบใหม่ทั้งหมดได้รับแรงบันดาลใจจากการตัดเย็บเสื้อผ้าแบบอังกฤษ โดยมีส่วนขอบที่สามารถแสดงสีที่ตัดกันหรือจับคู่สีเดียวกับตัวเบาะรองนั่งได้ การเย็บ การปักลาย และการขลิบเบาะแบบบีสโป๊กที่ซับซ้อนได้รับการพิจารณาตั้งแต่การถือกำเนิดของยนตรกรรม
สถาปัตยกรรมโครงสร้างอลูมิเนียมแห่งความหรูหรา
ปี 2003 ได้เห็น Phantom ของยุคกู๊ดวู้ดคันแรกที่สร้างขึ้นจากสถาปัตยกรรมสั่งทำพิเศษเฉพาะสำหรับยนตรกรรมรุ่นนี้ ยุคฟื้นฟูของแบรนด์นี้คือ Rolls-Royce 1.0 หลังจากนั้น ‘สถาปัตยกรรมแห่งความหรูหรา’ ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างอลูมิเนียมสเปซเฟรมที่มีความยืดหยุ่นสูง และผลงานทางวิศวกรรมที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งสามารถปรับขนาดให้เหมาะกับการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเช่นเดียวกับ Phantom, Cullinan และ Ghost ในปัจจุบัน
ตลอดจนการสั่งผลิตตัวถังแบบสั่งทำพิเศษ (Coachbuild) การขยายข้อเสนอของแบรนด์นี้คือ Rolls-Royce 2.0 ความสามารถในการปรับแต่งสถาปัตยกรรมแห่งความหรูหราสำหรับระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าถือเป็นปัจจัยพื้นฐานในการพิจารณาตั้งแต่แรกเริ่ม
อย่างไรก็ตามเฉพาะตอนนี้เท่านั้นที่เทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้านั้นล้ำหน้าพอที่จะเติมเต็มประสบการณ์ของโรลส์-รอยซ์ การเปิดตัวระบบส่งกำลังไฟฟ้าเต็มรูปแบบและระบบสมองกลอัจฉริยะ Decentralised Intelligence ในยนตรกรรมของแบรนด์สะท้อนถึงยุค Rolls-Royce 3.0 และจุดเริ่มต้นของยุคใหม่แห่งการใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
ด้วยความมั่นใจตั้งแต่เริ่มต้นว่า สถาปัตยกรรมแห่งความหรูหราสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของ Rolls-Royce พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ทีมวิศวกรของแบรนด์ได้รับประกันความต่อเนื่องของประสบการณ์การขับขี่จากยานยนต์รุ่นปัจจุบันซึ่งวิวัฒนาการแต่ละครั้งได้พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อรักษาความสำเร็จของแบรนด์ในระดับโลกไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
อันที่จริงความยืดหยุ่นโดยธรรมชาติของสถาปัตยกรรมโครงสร้างและความสะดวกในการรวมระบบส่งกำลังไฟฟ้าทำให้ทีมวิศวกร นักออกแบบ และช่างฝีมือมีอิสระที่จะให้ความสำคัญกับคุณภาพของประสบการณ์ ความถูกต้องของการออกแบบและนวัตกรรมในการสร้างสรรค์ผลงาน Be-Spoke
สำหรับ Spectre ทีมวิศวกรของ Rolls-Royce ได้ปลดล็อกสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ชิ้นส่วนอลูมิเนียมอัดขึ้นรูปที่ซับซ้อนและการติดตั้งชุดแบตเตอรี่เข้ากับโครงสร้างของยานยนต์ทำให้มีความแข็งแกร่งกว่าโรลส์-รอยซ์รุ่นก่อนถึง 30% ความยืดหยุ่นของสถาปัตยกรรมยังช่วยให้ทีมวิศวกรสามารถวางระดับพื้นรถให้มีความสูงที่กึ่งกลางของชายบันไดข้างแทนที่จะอยู่ด้านบนหรือด้านล่างของระดับชายบันได
มีการสร้างช่องสำหรับเดินสายไฟ และท่อควบคุมสภาพอากาศระหว่างแบตเตอรี่กับพื้น โดยมีแบตเตอรี่ติดตั้งอยู่ด้านล่างทำให้บริเวณพื้นใต้ท้องรถเรียบอย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ตำแหน่งเบาะที่นั่งต่ำและสามารถมอบประสบการณ์ห้องโดยสารที่โอบอุ้มผู้โดยสารได้แต่ยังช่วยให้ตระหนักถึงฟังก์ชันรองของแบตเตอรี่ที่มีน้ำหนักเกือบ 700 กิโลกรัม ก็คือ การช่วยลดเสียงรบกวนภายนอกเข้ามายังภายในห้องโดยสาร
วิศวกรรมดิจิทัล
สำหรับ Spectre ทีมวิศวกรของ Rolls-Royce ได้เห็นหลักการปฏิบัติงานตั้งแต่ในเวิร์กช็อปไปจนถึงพื้นที่ดิจิทัล ทำให้ Spectre คือรถยนต์ Rolls-Royce ที่มีการเชื่อมต่อกันมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และการควบคุมพลังของความสามารถในการประมวลผลของระบบ Decentralised Intelligence ที่โดดเด่นของยานยนต์ ทำให้ต้องการประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของมนุษย์มากกว่าที่เคย
เพื่อให้มั่นใจถึงความต่อเนื่องของประสบการณ์ในแบบฉบับของโรลส์-รอยซ์ไปพร้อมกับความก้าวหน้าของแบรนด์ พวกเขาจึงเลือกทีมวิศวกรทดสอบและการพัฒนาที่มีประสบการณ์มากที่สุดเพื่อเป็นผู้นำโครงการ ซึ่งบางคนทำงานร่วมกับแบรนด์มากว่าสองทศวรรษและมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการสร้างสรรค์ Phantom แห่ง ‘ยุคกู๊ดวู้ด’ คันแรก ทีมวิศวกรเหล่านี้อธิบายถึงประสบการณ์ที่ Spectre นำเสนอว่าเป็น “Rolls-Royce in high definition” ในด้านความเร็ว และความแม่นยำในการตอบสนองของยานยนต์ต่อสภาพท้องถนนและสภาพอากาศทั่วโลก
เพื่อให้สิ่งนี้เป็นจริง การควบคุมเฉพาะจุดได้ถูกรังสรรค์ด้วยมือสำหรับตัวแปรตัวรับ-ส่ง 141,200 ข้อมูลการทำงาน และในเกือบทุกกรณีทีมวิศวกรได้ออกแบบตัวแปรย่อยเพิ่มเติมอีกหลายตัวเพื่อรองรับข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ความเร็วภาคพื้นดิน ประเภทพื้นผิวถนน สถานะยานพาหนะ และลักษณะการขับขี่ สิ่งเหล่านี้ถูกรังสรรค์ขึ้นจากโปรแกรมการทดสอบระยะทาง 2.5 ล้านกิโลเมตรของ Spectre ทั้งในสนามทดสอบขั้นสูงและบนถนนจริงทั่วโลก
ระบบช่วงล่าง PLANAR SUSPENSION
ในการทดสอบ Spectre กระบวนการนี้รวมถึงการขับทดสอบในสภาวะแบบสุดโต่ง การพัฒนายานยนต์เริ่มต้นที่เมืองอัยเยโพล่ก ประเทศสวีเดนห่างจากอาร์กติกเซอร์เคิลเพียง 55 กิโลเมตร มีอุณหภูมิต่ำสุดที่ -40 องศาเซลเซียส และจะยังคงทำการทดสอบต่อไปในทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาในอุณหภูมิที่สูงถึง 55 องศาเซลเซียส
อย่างไรก็ตาม 55% ของการทดสอบเกิดขึ้นบนถนนจริงที่ Spectre ที่ถูกผลิตขึ้นจำนวนมากจะวิ่งอยู่บนถนนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นพิเศษคือในแถบเฟรนช์ริเวียร่า และเป็นที่ Côte d’Azur ที่การบูรณาการแบบดิจิทัลของระบบช่วงล่าง Planar ที่มีชื่อเสียงของ Spectre ได้รับการปรับแต่งขั้นตอนสุดท้าย
ระบบช่วงล่าง Planar คือตัวควบคุมระบบที่มีการตอบสนองต่อลักษณะการขับของผู้ขับขี่และสภาพถนนอย่างแม่นยำซึ่งเกิดขึ้นได้จากการพัฒนาซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ล่าสุดเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่นุ่มนวล ‘ประดุจนั่งอยู่บนพรมวิเศษ’ ที่โดดเด่นของโรลส์-รอยซ์
การใช้ชุดส่วนประกอบฮาร์ดแวร์ใหม่และใช้ประโยชน์จากความสามารถในการประมวลผลความเร็วสูงของ Spectre ระบบช่วงล่าง Planar สามารถแยกเหล็กกันโคลงของรถได้ทำให้แต่ละล้อสามารถทำงานได้อย่างอิสระ ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการโคลงของตัวรถที่เกิดขึ้นเมื่อด้านใดด้านหนึ่งของรถวิ่งไปบนพิ้นถนนที่มีระดับไม่เท่ากัน นอกจากนี้ ยังช่วยลดปัญหาขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงที่เกิดจากข้อบกพร่องของลักษณะพื้นผิวถนน
เมื่อตรวจพบโค้งที่ใกล้จะถึงระบบช่วงล่าง Planar จะประกอบส่วนประกอบต่างๆ เข้าด้วยกัน แดมเปอร์กันกระเทือนจะแข็งขึ้นและระบบบังคับเลี้ยวสี่ล้อจะเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้งานเพื่อให้แน่ใจว่าการเข้าและออกโค้งเป็นไปอย่างง่ายดาย ในขณะเข้าโค้งจะมีการตรวจจับด้วยเซ็นเซอร์ 18 ตัว และตัวกำหนดการทำงานของระบบการบังคับเลี้ยว การหยุดรถ ระบบส่งกำลัง และช่วงล่างถูกปรับไปตามสถานการณ์นั้นเพื่อให้ Spectre ยังคงนิ่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือการควบคุมที่ง่ายดาย
ขุมพลัง-ระยะทางที่วิ่งได้ และมิติตัวถัง
ตัวเลขของขุมพลัง อัตราเร่ง และตัวเลขระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ยังคงอยู่ในกระบวนการปรับจูน เนื่องจากภารกิจอันน่าทึ่งในการปรับจูนของ Spectre จะเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะสรุปผลในไตรมาสที่ 2 ของปี 2023
ข้อมูลเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า Spectre คาดว่าจะสามารถวิ่งได้ 320 ไมล์/520 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และให้แรงบิด 900 นิวตันเมตรที่กำลังเครื่องยนต์สูงสุด 430 กิโลวัตต์ เป็นที่คาดการณ์ว่าจะสามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ในระยะเวลาเพียง 4.5 วินาที (หรือ 0-60 ไมล์/ชม. ภายใน 4.4 วินาที)
การทดสอบ และปรับสมรรถนะสูงสุดให้กับ Spectre ยังคงต้องดำเนินต่อไปในอีกหลายเดือนข้างหน้า ตัวเลขเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ก่อนการยืนยันอย่างเป็นทางการก่อนออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 4 ปีค.ศ. 2023
รายละเอียดทางมิติของ SPECTRE
• ประตู/ที่นั่ง: 2 ประตู/4 ที่นั่ง
• ความยาว: 5453 มม./214.685 นิ้ว
• ความกว้าง: 2080 มม./81.889 นิ้ว
• ความสูง: 1559 มม./61.377 นิ้ว
• ฐานล้อ: 3210 มม./126.378 นิ้ว
• รัศมีวงเลี้ยว: 12.7 เมตร
• น้ำหนักรถสุทธิ: 2975 กิโลกรัม
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: press.rolls-roycemotorcars.com
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.