ตะลุยภูเก็ต-สัมผัสเทคโนโลยีระดับโลกกับ Jaguar Land Rover
อินช์เคป ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Jaguar และ Land Rover ในประเทศไทย จัดเอ็กซ์คลูซีฟอีเวนต์ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน เพื่อให้สื่อมวลชนได้สัมผัสเทคโนโลยีระดับโลกจาก 2 แบรนด์ที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวอังกฤษ…
กิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นที่ The Above and Beyond Tour การขับทดสอบรถ Land Rover บนเส้นทางออฟ โรด จำลองกับ New Range Rover Sport Plug-in Hybrid ที่มาพร้อมระบบมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 116 แรงม้า ช่วยเสริมกำลังให้เครื่องยนต์เบนซินใหม่ Ingenium 2.0 ลิตร ทำให้มีกำลังรวมสูงสุด 404 แรงม้า และแรงบิด 640 นิวตันเมตร
ทีมงานจากัวร์ แลนด์โรเวอร์ เอเชียแปซิฟิก กำหนดรูปแบบให้สื่อมวลชนได้สัมผัสสมรรถนะบนเส้นทางออฟ โรดที่สร้างชื่อให้แบรนด์นี้มายาวนานร่วม 7 ทศวรรษ เริ่มจากการขับไต่เนินดินเพื่อให้รู้ว่า Range Rover Sport สามารถปกป้องคุณในทุกสถานการณ์ แม้ว่ารถจะเอียงจากพื้นถนนไปถึง 20-25 องศา ตามข้อมูลที่แสดงบนหน้าจอบริเวณคอนโซลกลาง
ระหว่างการขับช่วงนี้อินสตรักเตอร์ชาวไทยให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า Range Rover Sport สามารถขับเอียงข้างแบบนี้ได้สูงสุด 45 องศาหรือถ้าจะให้เห็นภาพก็ประมาณคนขับสามารถเปิดกระจกยื่นมือออกมาแตะพื้นถนนได้เลย
จากนั้นเป็นการทดสอบระบบขับเคลื่อน All Wheel Drive (AWD) ด้วยการค่อยๆ หย่อนล้อที่ละข้างลงหลุมที่มีความลึกประมาณ 30 เซนติเมตร โดยสามารถเรียกดูข้อมูลบนจอคอนโซลกลางเพื่อให้รู้ว่าล้อข้างใดกำลังลอยจากพื้น และเครื่องยนต์ส่งกำลังสู่ล้อข้างใดเพื่อช่วยให้รถข้ามผ่านอุปสรรคนี้มาได้
ช่วงสุดท้ายเป็นการขับลงจากเนินเขาเพื่อลองใช้งาน Hill Descent Control (HDC) ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชันที่ติดตั้งเป็นมาตรฐานใน Range Rover Sport สามารถเริ่มทำงานตั้งแต่ความลาดชัน 5 องศา และความแตกต่างหากเทียบกับเอสยูวีแบรนด์อื่นที่ติดตั้งระบบนี้ คงจะเป็นการทำงานของระบบเบรกอัตโนมัติที่เงียบมากๆ ไม่มีเสียงครืดคราดให้รำคาญในห้องโดยสาร รวมทั้งระบบขับเคลื่อน Plug-in Hybrid ที่ใช้แบตเตอรี่ความจุ 13 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำให้ขับด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ไกลถึง 51 กิโลเมตร ช่วยทำให้บรรยากาศในห้องโดยสารยิ่งเงียบเข้าไปอีกในช่วงที่ขับรถไต่ลงมา
จบจากตรงนี้จะย้ายมาทดสอบความคล่องตัวของซับคอมแพ็กต์ครอสส์โอเวอร์ Land Rover Discovery Sport ที่เป็นเหมือนการเล่นเกมสนุกๆ ด้วยการให้ขับบนเส้นทางที่กำหนดเพื่อใช้กระจกมองข้างตีให้โดนลูกเทนนิสที่ถูกแขวนไว้กับเสา 10 ต้น
ก่อนจะเริ่มเล่นผู้เขียนคิดว่าไม่น่าจะเก็บได้ครบ แต่พอขับจริงการกำหนดความเร็วไม่ให้เกิน 10 กม./ชม. (หรือปล่อยให้รถไหลไปเรื่อยๆ) ทำให้เล็งมุมเพื่อหันกระจกมองข้างกระแทกลูกเทนนิสทั้งหมดได้แบบสบายๆ ถึงสภาพเส้นทางจะมีหลุมคอยดักให้เสียจังหวะได้ตลอด เรียกว่าขนาดของตัวรถที่ยาวประมาณ 4.59 เมตร และกว้าง 2.06 เมตร ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเล่นเกมนี้
ปิดท้ายกิจกรรม The Above and Beyond Tour เป็นการสำรวจหาจุดผิดปกติของ Range Rover Evoque ที่จอดอยู่ในเต็นท์ที่จะมีทั้งลมยางอ่อน, ไฟหน้าขาด, ถุงลมนิรภัยมีความผิดปกติ, น็อตล้อหาย, กล้องมองหลังถูกเทปกาวปิด, เข็มขัดนิรภัยเบาะหลังไม่มี ฯลฯ รวมทั้งหมด 10 จุดที่มีทั้งหาได้ครบ และหาได้เกินตามความสามารถในการจับผิดของแต่ละคน
The Art of Performance Tour with Jaguar F-type
อีกหนึ่งกิจกรรมในทริปนี้ The Art of Performance Tour ถูกจัดขึ้นอีกฟากฝั่งหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต การขับรถสปอร์ต Jaguar F-Type ทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองของผู้ขับขี่ในการขับเข้าสู่ ‘Smart Cone’ เทคโนโลยีไร้สายในการสุ่มเส้นทางที่จะต้องวางแผนล่วงหน้าในการผ่านจุดหมายต่อไปด้วยความรวดเร็ว และใช้ระยะทางสั้นที่สุด
Smart Cone ใช้กลไกแบบเดียวกับเกม Batak เพื่อทดสอบความคล่องตัวของนักกีฬา โดยทีมงาน Jaguar นำมาพัฒนาเชื่อมสัญญาณกับระบบดาวเทียมเพื่อระบุพิกัดที่แม่นยำส่งเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์กลางเพื่อประมวลผลด้วยอัตรา 100 ครั้ง/วินาที ทำให้คนขับไม่สามารถคาดเดาทิศทางล่วงหน้า
การขับในเกมนี้ผู้ชนะไม่จำเป็นต้องเร็วที่สุด ถึงจะอยู่ใน F-Type เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ Ingenium 2.0 ลิตร 4 สูบ ที่มีกำลังสูงสุด 300 แรงม้าก็ตาม แต่จะต้องรู้จักวางแผนทั้งการต้องควบคุมให้ด้านหน้ารถผ่านตำแหน่งตรงกลางมากที่สุดระหว่าง Smart Cone ที่มีสัญญาณไฟสีเขียว และต้องวางแผนสู่จุดต่อไปที่จะมีสัญญาณไฟกระพริบสีน้ำเงินบอกให้รู้ตำแหน่ง เพื่อคำนวณว่าจะใช้เส้นทางไหนที่สั้นที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อคะแนนที่ออกมาอีกด้วย
สัมผัสความหรูหราของ Princess F70 เรือยอร์ชหรูราคา 134 ล้าน
หลังจบกิจกรรมของทั้ง 2 แบรนด์ Jaguar และ Land Rover ทางทีมงานอินช์เคป พาสื่อมวลชนออกไปสัมผัสความสวยงามของท้องทะเลอันดามันกับเรือยอร์ชหรู Princess F70 ที่นำเข้ามาจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการโดยบริษัทโบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง
F70 เป็นเรือยอร์ชตระกูล Flybridge รุ่นล่าสุดของ Princess ผู้ผลิตเรือชั้นนำของเกาะอังกฤษ โดยขนาดความยาว 21.25 เมตร และความกว้าง 5.39 เมตร ทำให้การจัดสรรพื้นที่ภายในได้อย่างลงตัว สวยงามทันสมัย ด้วยวัสดุที่หรูหรา รวมทั้งความอเนกประสงค์ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นงานสังสรรค์ภายในครอบครัวหรือปาร์ตี้กับแก๊งค์เพื่อนสนิท โดยเราเป็นแขกกลุ่มที่ 2 บนเรือลำนี้ หลังจากเคยใช้ถ่ายรายการ This is Me Vatanika ของดีไซเนอร์สาวคนดัง แพร-วทานิกา เป็นคนแรกเมื่อไม่นานนี้
ก้าวแรกที่ขึ้นสู่เรือจะเจอชั้นหลัก-Main Deck ที่ถูกออกแบบเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลรอบทิศทางแบบ 360 องศาผ่านกระจกขนาดใหญ่ที่เอื้อต่อแสงธรรมชาติให้ส่องเข้ามาภายในตัวเรือ รวมทั้งโต๊ะทานอาหาร, ตู้เย็น, ทีวี และออกแบบให้ทุกพื้นที่สามารถจัดเก็บของได้อย่างประณีตตามสไตล์อังกฤษ
ด้านนอกของชั้นหลักจะมีพื้นที่ทานอาหารกลางแจ้งอยู่บริเวณส่วนท้ายเรือ และหากเดินมาที่หัวเรือจะมีโซฟาพร้อมโต๊ะ และเตียงอาบแดดขนาดใหญ่ให้นั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ พร้อมชมความสวยงามของพระอาทิตย์ยามเย็น
หลังจากนั้นขึ้นไปสำรวจชั้นดาดฟ้า-Flybridge ที่มีความกว้างถึง 26.6 ตารางเมตร ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่ทานอาหารบนโต๊ะรูปตัวยูขนาดใหญ่ พร้อมบาร์เครื่องดื่ม และเตาบาร์บีคิว โดยมีที่นั่งชมวิวด้านหน้าใกล้กับที่นั่งคนขับเรือ ที่ปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่อาบแดดได้เช่นเดียวกับด้านหลัง การออกแบบอย่างชาญฉลาดนี้ ทำให้ได้พื้นที่ทำกิจกรรมเป็นสัดส่วนได้อย่างลงตัว
กลับมาที่ชั้นหลักจะมีบันไดลงสู่ชั้นล่าง-Lower Deck พื้นที่สำหรับพักผ่อนที่ถูกออกแบบจัดสรรพื้นที่ได้อย่างน่าชื่นชม โดยห้องนอนใหญ่ (Master Stateroom) ที่จะมีบันไดส่วนตัวพร้อมห้องน้ำที่สะดวกสบาย เช่นเดียวกับห้องนอนสำหรับแขกที่อยู่ด้านหน้าหัวเรือ รวมทั้งมีอีก 2 ห้องนอนเล็กสำหรับผู้ร่วมเดินทาง
หลังจากดื่มด่ำความสวยงามของเกาะนาคา อยู่ราวชั่วโมงเศษ ชมวิวพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าทะเลอันดามัน กัปตันเรือ Princess F70 พาสื่อมวลชนกลับขึ้นฝั่งที่เกาะภูเก็ตเป็นการปิดทริปนี้ที่ครบถ้วนทั้ง Art of Performance และ Above and Beyond ตามสไตล์ผู้ดีอังกฤษทุกระเบียบนิ้ว
เรื่อง: พูนทวี สุวัตถิกุล
ขอบคุณข้อมูล: อินช์เคป (ประเทศไทย)
Comments are closed.